Solitude Is Bliss



เพลงและเมโลดี้ดนตรีที่วนเวียนอยู่ในหัว บางทีทำให้รู้สึกล่องลอย บางทีรู้สึกเหมือนคนเมาทั้งที่แค่ฟังเพลง ลองฟังเพลงของเขาแล้วอาจเข้าใจมากขึ้น Solitude Is Bliss มือกลอง แฟรงค์ ศิษย์เก่าคณะการสื่อสารมวลชน (แมสคอม) มช.



เหตุใดถึงเลือกเข้ามช.
แฟรงค์ : ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยครับว่าอยากเรียนใกล้บ้าน (บ้านเราอยู่ใน รพ.มหาราชฯ) ที่แปลกคือขนาดรู้จัก มช. มาตั้งแต่มัธยม พี่สาวก็เรียนจบที่นี่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไรในนี้ และก็ไม่เคยมีความคิดอยากจะเรียนต่างจังหวัด คิดว่าน่าจะเป็นคนติดบ้านมั้ง ชอบเชียงใหม่มากเพราะตอนนั้น (ย้ำว่าตอนนั้น!!!) เดินทางไปไหนก็สะดวก กินอะไรก็ประหยัด เพื่อนก็เรียนกันที่นี่เยอะ ไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่ อ้อ.. ที่ชอบสุดคือมันเย็นกว่า กทม. เนี่ยแหละจ้า

สถานที่ที่ชอบใน มช.
แฟรงค์ : ชมรมดนตรีสากล ใต้ อมช. เป็นห้องดนตรีเล็กๆ ที่นานๆ จะมีคนโผล่ไปบ้าง (ในยุคเรานะ) แถมตอนนั้นเราเป็นคนเดียวของรุ่นเลยมั้งที่เข้าไปร่วมกิจกรรมกับชมรมนี้อยู่บ่อยๆ เพราะชวนใครก็ไม่มาด้วย ตรงนั้นแหละเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า เออ.. นี่แหละคือที่ของกู คือชีวิตที่ไม่ใช่แบบพอว่างก็เอะอะไปเล่นเกมกับเพื่อนหลังมอตลอดงี้ (หัวเราะ) ในห้องก็จะมีกลองเก่าๆ ที่พอซ้อมได้ ส่วนกีตาร์ เบส กับแอมป์ ก็พอถูไถ จะมีแค่ไมค์นักร้องกับเปียโนที่สภาพเส็งเคร็งหน่อยๆ แต่พอทุกคนเริ่มซ้อมมันก็พอไปไหว ที่สำคัญคือได้คุยเรื่องดนตรีกับเพื่อนต่างคณะในภาษาเดียวกัน ได้รู้จักกับรุ่นพี่ชมรมไปจนถึงพี่ๆ ศิษย์เก่า ที่บางคนก็เป็นศิลปิน บางคนก็เล่นดนตรีอาชีพ เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์บนถนนสายนี้ให้ฟังตลอด จนถึงตอนนี้ เราก็ยังสนิทกับเพื่อนบางคนจากห้องนั้น รุ่นพี่บางคนก็หางานมาให้ทำตลอด คือนับเป็นไม่กี่เรื่องในชีวิตเลย ที่เราตัดสินใจถูกที่เลือกเข้าชมรมนี้ในตอนนั้น (หัวเราะ)

จากที่ทราบมาในตอนนั้นเข้าศึกษาในคณะการสื่อสารมวลชน แต่แรงจูงใจอะไรที่ทำให้หันมาทำดนตรีอย่างจริงจัง
แฟรงค์ : คือเราชอบดนตรีมาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว ยอมรับว่าตอนนั้นก็แอบสนใจอยากเรียนดนตรีต่อนะ เพราะกระแสดนตรียุคเรามันมาพีคตอนที่หนังเรื่อง Season Change ฉายนั่นแหละ แต่พอคิดไปคิดมา เราเป็นคนแค่อยาก “เล่น” ดนตรีเท่านั้น แค่เล่นให้มันสนุก ไม่อยากให้อะไรที่ชอบกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หรือต้องเครียด ต้องทำเกรดเพราะมัน สุดท้ายก็เลือกเรียนสื่อสารมวลชน เพราะคิดเล่นๆ ว่า สกิลที่พอมี น่าจะพอมีประโยชน์บ้างในคณะนี้ (ปรากฏว่าเลือกเรียน Magazine จ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่สะสมมาเลย) อ้อ.. เกือบลืมไป สิ่งที่ทำให้เราได้เล่นดนตรีตลอดช่วงที่เรียนมหาลัย คืองานดนตรีกลางคืน คือเล่นตั้งแต่เข้าปี 1 ยันเรียนจบเลย ตอนนั้นแหละที่เริ่มรู้สึกแฮปปี้ว่า สกิลที่เรามี ก็พอหาตังค์ค่าขนมได้บ้างงี้

เหตุการณ์อะไรที่ทำให้ได้มาเล่นดนตรีด้วยกัน
แฟรงค์ : หลังจากที่เราเรียนจบใหม่ๆ เบียร์ (มือกีตาร์) ชวนเราให้ไปตีแทนมือกลองที่ร้านนาเบะ ข้าวต้มหม้อไฟ สันติธรรม ตอนนั้นมือกลองที่เล่นกับเบียร์เขาลากลับบ้านไปนานเลย เราก็เลยได้แทนที่นี่ยาว พอเล่นที่ร้านนี้ไปซักพัก เฟนเดอร์ก็เข้ามาเล่นโฟลกซองค์ที่ร้านช่วงก่อนวงเราที่เป็นวงหลักขึ้น เบียร์ชอบเสียงเฟนก็เลยชวนกันไปทำโปรเจ็กต์เล็กๆ ได้โด่ง (มือเบส) กับปอนด์ (มือคีย์บอร์ด) มาช่วยทำด้วย จนออกมาเป็นซิงเกิ้ล “04.00 AM” หลังจากนั้นไม่นาน โปรเจ็กต์ No Signal Input ที่เป็นชุมชนคนดนตรีย่านนิมมานฯ ก็ประกาศรวบรวมวงหน้าใหม่ที่สนใจอยากส่งเดโม ให้ลองส่งเข้าไปดู แต่ทางวงส่งเดโมช้าไป 1 วัน ก็เลยไม่ได้เข้าทำโปรเจ็กต์นี้ แต่พี่เมธแกชอบซิงเกิ้ลนี้มาก เลยคุยโมเดลค่าย Minimal Records ให้ฟัง ตั้งแต่วันนั้น วงก็เซ็นสัญญากับค่ายด้วยเบียร์สองลังเนี่ยล่ะ หัวเราะ) ตอนแรกวงไม่มีมือกลองนะ ต้องเขียนในโปรแกรมเอาบ้าง คีย์บอร์ดกดเอาบ้าง พอมีงานเล่น เบียร์ก็เลยชวนเราเข้าวง ตั้งแต่นั้นมาสมาชิกก็ตามที่เห็นเนี่ยแหละครับ 

แนวเพลงของวง solitude is bliss คือแนวอะไร ทำไมถึงเลือกเป็นแนวนี้
แฟรงค์ : จริงๆ เราไม่เคยจำกัดตัวเองนะว่าเราทำดนตรีแนวไหน แค่เรามีเรื่องอยากจะเล่าประมาณนี้ มีเสียงที่อยากนำเสนอประมาณนี้ เท่านั้นเองครับ เพียงแต่บางคนจะนิยามว่าเราเป็น Alternative บ้าง Psychedelic บ้าง ซึ่งก็ไม่ผิดนะ เพราะเราเองก็ไม่ได้ตัดสินว่าตัวเองเป็นแบบนั้นแบบนี้ เรามองว่าน่าจะอยู่ที่ประสบการณ์คนฟังด้วย ว่าเค้าจะนิยามเพลงของเราว่าเป็นแบบไหนมากกว่าครับ

ชื่อวงมาจาก
แฟรงค์ : ก่อนหน้าที่จะได้ชื่อนี้ ทางวงเลือกกันอยู่หลายชื่อ แต่มาสุดที่ Solitude Is Bliss ชื่อเพลงของวง Tame Impala จากอัลบั้ม Innerspeaker ด้วยความหมายที่บอกว่า “ความสันโดษคือความสุขสุดยอด” ที่โดนชื่อนี้เพราะมันใกล้เคียงกับคาแรคเตอร์แต่ละคนที่ชอบอยู่กับความคิดตัวเอง ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้เลือกปฏิเสธสังคมซะทีเดียวนะ ซึ่งเราก็เชื่อว่ามีหลายคนที่คิดหรือชอบโมเม้นต์ที่คล้ายกับพวกเราอยู่นะ

ถ้าไม่ได้เป็นนักดนตรีอยากเป็นอยากเป็นอะไร
แฟรงค์ : เอาตรงๆ ทุกวันนี้ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักดนตรีเลยครับ แต่ถ้าไม่ได้เล่นดนตรีจริงๆ ตอนนี้คงหมกมุ่นกับการท่องเที่ยวมากแน่ๆ ซึ่งถ้าอารมณ์ดีหน่อยก็อาจจะเป็นบล็อกเกอร์งี้ แต่มันจะไม่ได้เป็นเพราะแพ้ความขี้เกียจนี่แหละ (หัวเราะ) จริงๆ อาชีพที่เราอิจฉาและอยากเป็นสุดๆ มีอยู่ 2 อย่าง คือ บล็อกเกอร์ท่องเที่ยวกับคนแคสเกมเนี่ยล่ะ เพราะชีวิตดูจะได้เจออะไรใหม่ๆ ตลอดเวลาเลย แต่ย้ำว่าต้องไม่เป็นที่เมืองไทยนะ เพราะในต่างประเทศ สองอาชีพนี้ทำเงินได้แบบถล่มทลายเลย แอบอยากเป็นเบาๆ ป่ะ ไปฝึกภาษาอังกฤษกันครับ

อยากจะบอกกับน้อง ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย
แฟรงค์ : จะฝากน้องๆ ด้วยความที่เคยเป็นนักศึกษามาก่อนว่า คำว่า “นักศึกษา” มันจะมีคำว่า “ไม่ผิด” อยู่เสมอ น้องๆ สามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เพราะทุกการกระทำ ทุกการลองผิดลองถูก มันจะถูกปกป้องโดยชื่อคณะและมหาวิทยาลัยเสมอ ซึ่งพอพ้นจากช่วงชีวิตนี้มาแล้ว ทุกๆ การตัดสินใจที่ผิดมักจะมีราคาตามมาทั้งนั้น ความผิดเล็กๆ ในโลกความเป็นจริงจะไม่ถูกประนีประนอมเท่ากับคำกล่าวตักเตือนของอาจารย์ในชั้นเรียน ดังนั้น อยากลองทำอะไรที่คิดว่าไม่เกินขอบเขตความเหมาะสม ก็ขอให้รีบทำครับ เพราะ 4 ปีที่น้องๆ ว่านานๆ เนี่ย รู้ตัวอีกทีเราก็สมัครงานกันแล้วครับ (หัวเราะ) ส่วนอีกเรื่องนึง ไม่รู้มีใครคิดเหมือนเรามั้ยนะ เราชอบที่ยุคสมัยปัจจุบันมันสามารถบันทึกเรื่องราวของเราไว้ได้ตามแต่ที่อยากเก็บ แถมคุณภาพการบันทึกก็ยังชัดกว่ารุ่นพ่อแม่เราเยอะ เชื่อว่าลูกๆ ของรุ่นเราจะเห็นตั้งแต่รูปเซลฟี่ยันคลิปวีดีโอตอนแต่งงานของพ่อแม่ ผิดกับยุคเราที่เห็นแต่ภาพถ่ายเก่าๆ แค่ในบางช่วงเวลา ดังนั้นเวลาจะทำอะไรซักอย่าง คิดเผื่อตลอดว่า สมมติถ้าเรามีลูก แล้วลูกมาเห็นชีวิตเรา มันจะเอาเรื่องของเราไปเล่าอวดเพื่อนมันมั้ย แบบพ่อกูเคยไปเที่ยวตรงนั้น เคยเขียนบทความลงหนังสือเล่มนี้ เคยตีกลองอยู่วงนี้ อะไรประมาณนี้ เพราะทุกอย่างที่คนรุ่นเราทำ มันจะกลายเป็นผลงานที่อยู่ชั่วลูกชั่วหลานแน่นอน ดังนั้น ถ้ามีโอกาสทำอะไรที่รู้สึกว่าคุ้มกับชีวิตและพอจะอวดลูกอวดหลานได้ ก็ทำเลยครับ ก่อนที่เราจะโดนเด็กเมื่อวานซืนในอนาคตว่ากลับนั่นแหละ (หัวเราะ)

ถ้าพูดถึง 4.0 จะคิดถึงอะไร
แฟรงค์ : คิดถึงหน้าลุงหน้าทำเนียบขึ้นมาเฉยเลย (หัวเราะ) เห็นแกบอกว่าจะพาประเทศเราเข้าสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” อยู่ แต่ที่น่าสนุกคือไม่มีใครรู้ว่าประเทศเราตอนนี้มัน 1.0 หรือ 2.0 ไง ส่วนจะถึง 4.0 เมื่อไหร่ นานแค่ไหน ก็ขอรอดูแบบไม่มีปากไม่มีเสียงละกันจ้า

ความเกี่ยวพันของเลข 4 ในวง
แฟรงค์ : 1. Solitude Is Bliss เริ่มต้นมีกัน “4” คน ซึ่งเรามาเป็นคนที่ 5
2. เชื่อว่าสมาชิกทุกคน ไม่เคยได้เกรดเฉลี่ย “4”.00 ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย (พวกที่ได้เกินกว่า 3.75 คือมนุษย์ต่างดาว)
3. Solitude Is Bliss มีผลงานทั้งหมด 3 อัลบั้มคือ Montage EP, Her Social Anxiety LP และ Montage EP Reissue ซึ่งทั้ง 3 อัลบั้ม มีกล่องใส่ซีดีเป็นรูป “4” เหลี่ยม (พยายามแล้วนะ)  
4. เดี๋ยวมาตอบได้มะ ปวด “4”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

4Bands from CMU